บทที่ 4 เธอไม่เหมาะสมกับฉัน
“คุณปู่”
อัญชนีเอ่ยขัดเขาขึ้นมา
เธอหันไป สายตาจับจ้องไปที่นภัทร
หน้าตาก็ดีอยู่หรอก แต่สมองไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
เธอยิ้มพลางรินชาส่งให้นภัทร ทุกอิริยาบถของเธอแฝงไปด้วยรัศมีของความสุขุมเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก
“ถึงแม้ว่าคุณนภัทรจะพูดจาและการกระทำน่าหมั่นไส้ไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่ทำได้ดี นั่นก็คือการรู้จักประมาณตน ระหว่างคุณกับฉัน เราไม่คู่ควรกันจริงๆ คุณยังห่างชั้นกับฉันอีกเยอะ”
สีหน้าของนภัทรพลันแข็งค้าง เขามองผู้หญิงที่พูดจาโอหังไม่รู้จักเจียมตัวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วหรือไง?
กล้าดียังไงมาบอกว่าเขาไม่คู่ควรกับเธอ?!
ใบหน้าที่เย็นชาและเคร่งขรึมมาโดยตลอดของเขาดูเหมือนกำลังจะปริแตก
ผ่านไปสักพักใหญ่ เขาถึงได้กัดฟันรับถ้วยชานั้นมา แค่นหัวเราะเยาะหนึ่งทีก่อนจะนั่งลง
เมื่อเห็นหลานชายตัวเองเสียท่า ไรวินท์ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่กลับแอบหัวเราะในใจ
ไอ้หลานตัวแสบ วันๆ เอาแต่ทำหน้าตาย ไม่รู้จะเก๊กหล่อไปอวดใคร เป็นไงล่ะทีนี้? มาเจอดีกับอัญเข้าให้จนได้!
ไรวินท์หุบรอยยิ้มแล้วกลับมาทำหน้าจริงจัง แววตาฉายความเคร่งขรึมออกมา
“อัญ อย่าหาว่าปู่แก่แล้วงี่เง่าเลยนะ ตอนนั้นปู่เคยช่วยชีวิตหนูไว้ หนูบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณ ตอนนี้ปู่มีความปรารถนาแค่ข้อเดียว คือการได้เห็นนภัทรเขาเป็นฝั่งเป็นฝา คนแก่อย่างปู่จะได้ตายตาหลับเสียที”
“ถือว่าให้เกียรติปู่ ลองคบหากับนภัทรดูสักพัก ถ้าเข้ากันไม่ได้จริงๆ ปู่ก็จะไม่บังคับพวกหนู”
อัญชนีนิ่งเงียบไป
ในเมื่อไรวินท์พูดถึงขนาดนี้แล้ว หากเธอยังปฏิเสธอีก ก็จะดูเหมือนว่าเธอเป็นคนไม่รู้จักความ
เธอครุ่นคิดอยู่เป็นนานก่อนจะพยักหน้า “ให้เวลาหนึ่งเดือน ถ้าเราสองคนยังไม่รู้สึกอะไรต่อกัน ก็ขอให้คุณปู่อย่าบังคับพวกเราอีกเลยค่ะ”
นภัทรขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“คุณปู่ครับ ผมไม่เห็นด้วย ผมมี...”
วินาทีต่อมา สายตาคมกริบของไรวินท์ก็จับจ้องมาที่เขา
“นภัทร อย่าลืมสิว่าที่ทุกวันนี้แกได้เอาเวลาไปทุ่มเทกับงานอดิเรกไร้สาระพวกนั้นได้ ก็เพราะปู่คนนี้คอยพูดไกล่เกลี่ยกับพ่อแม่แกให้ไม่ใช่หรือไง? ถ้าแกยังเห็นว่าฉันเป็นปู่ของแกอยู่ ก็อย่ามาขัดใจฉัน”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้นภัทรเถียงไม่ออก
เขากำหมัดแน่น สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้า “ก็ได้ครับ แค่เดือนเดียว”
ไรวินท์ถึงได้ยิ้มแก้มปริ “อย่างนี้สิถึงจะถูก! ปู่ให้แกคบกับอัญไม่ใช่ว่าจะทำร้ายแกสักหน่อย! ต่อไปแกก็จะรู้เองว่าเธอดีแค่ไหน”
เมื่อเห็นว่าเรื่องสำคัญคุยกันเรียบร้อยแล้ว อัญชนีก็ลุกขึ้น
“คุณปู่คะ นี่ก็ดึกแล้ว หนูต้องกลับบ้านแล้วค่ะ”
ไรวินท์ทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ “ตระกูลภิรมย์ภักดีทำกับหนูขนาดนั้น หนุยังจะกลับไปหาเรื่องไม่สบายใจอีกเหรอ? ไม่อย่างนั้นก็มาอยู่กับปู่ที่นี่เลย ยังไงอีกสองวันก็ต้องจัดงานหมั้นให้พวกหนูอยู่แล้ว อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน”
เส้นเลือดบนขมับของนภัทรกระตุก แต่ก่อนที่เขาจะได้ปฏิเสธ อัญชนีก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ไม่เป็นไรค่ะคุณปู่ หนูมีเรื่องต้องกลับไปจัดการ ไว้คราวหน้าหนูจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่นะคะ”
เมื่อรู้ว่ารั้งอัญชนีไว้ไม่ได้ ไรวินท์ก็ได้แต่พยักหน้าทั้งน้ำตา ก่อนไปก็ไม่ลืมที่จะเตะนภัทรไปหนึ่งที ให้เขาไปส่งอัญชนีด้วยกัน
รถมายบัคแล่นฉิวไปตามกระแสรถบนถนน อัญชนีเอนตัวพิงหน้าต่าง ดวงตาจ้องมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
นภัทรเผลอหันกลับไปมองแวบหนึ่ง แต่กลับแทบจะละสายตาไม่ได้
ต้องยอมรับว่าผู้หญิงคนนี้สวย
และไม่ใช่สวยธรรมดา
ขนตาดกหนาราวกับขนนกกา ดวงตาคู่สวยที่เปี่ยมเสน่ห์เย้ายวน ผิวพรรณเนียนละเอียดราวกับหยกขาวชั้นเลิศ ริมฝีปากรูปกลีบดอกไม้อิ่มเอิบนั้นแทบไม่ต้องแต่งแต้ม ก็มีสีแดงสดใสน่าหลงใหลในตัวเอง
ครู่ต่อมา นภัทรถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองเผลอไผลไป เขาหันหน้ากลับมาอย่างหงุดหงิด
ต่อให้สวยแค่ไหน ก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่มีทางเทียบกับเธอในคืนนั้นได้เลย
ตอนนี้ก็แค่รอให้ครบกำหนดหนึ่งเดือน เขาจะได้เปิดอกคุยกับคุณปู่ว่าในใจของเขามีคนอื่นอยู่แล้ว
ส่วนผู้หญิงคนนี้ ก็คงไม่มีทางได้เจอกันอีก!
ตลอดทางเงียบสงัดไร้เสียงพูดคุย
จนกระทั่งรถจอดสนิทที่หน้าประตูใหญ่วิลล่าของตระกูลภิรมย์ภักดี นภัทรถึงได้เอ่ยปากออกมาอย่างขอไปทีว่า
“ถึงแล้ว”
อัญชนีเอ่ยอืมเบาๆ ขอบคุณแล้วก็ลงจากรถเตรียมจะเดินจากไป
ทันทีที่หันหลัง เสียงเย็นชาของผู้ชายก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ในหนึ่งเดือนนี้ นอกจากตอนที่ต้องแสดงละครต่อหน้าคุณปู่แล้ว เวลาอื่นผมหวังว่าคุณจะทำเหมือนไม่รู้จักผม ผมขอพูดให้ชัดเจนไว้ก่อน ในใจผมมีคนอื่นอยู่แล้ว ระหว่างเราสองคนเป็นไปไม่ได้”
อัญชนีชะงักฝีเท้า หันกลับมามองเขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“วางใจเถอะค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้สนใจคุณเหมือนกัน”
พูดจบ เธอก็หันหลังเดินขึ้นตึกไป
ทิ้งให้นภัทรที่นั่งอยู่ในรถได้แต่กัดฟันมองแผ่นหลังของเธอด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ
วินาทีต่อมา เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เขารับโทรศัพท์ด้วยใบหน้าบึ้งตึง “มีอะไรก็รีบพูดมา!”
ปลายสายมีเสียงจิ๊ปากอย่างกวนๆ ดังขึ้น “จิ๊ๆๆ โมโหอะไรมาเนี่ย! ใครไปทำอะไรให้คุณชายนภัทรผู้เก่งกาจของเราไม่พอใจอีกล่ะ?”
“ดุลย์ ถ้าช่วงนี้นายว่างมากนักล่ะก็ ฉันไม่เกี่ยงที่จะยกเลิกสัญญาความร่วมมือสักสองสามฉบับ ให้นายได้มีอะไรทำยุ่งๆ บ้าง”
นภัทรแค่นเสียงเย็นชา
ดุลย์ที่อยู่อีกฝั่งรีบร้องขอความเมตตา “โอเคๆ ก็แค่ล้อเล่นเอง! ทำเป็นเล่นไม่ได้ไปได้ วันนี้ฉันโทรมามีข่าวดีสุดๆ จะบอกนายเลยนะ!”
“เซียนหมากล้อมที่นายตามหามาตลอดน่ะ ในที่สุดฉันก็ติดต่อได้แล้ว!”
“จริงเหรอ?” สีหน้าของนภัทรพลันเปลี่ยนจากมืดครึ้มเป็นสดใสในทันที
เขาหลงใหลในศิลปะการเดินหมากมาโดยตลอด แต่ก็น่าเสียดายที่หาคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมได้ยากมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งเมื่อสามปีก่อนได้ประมือกับเซียนหมากล้อมในการแข่งขันครั้งหนึ่ง การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดสูสี
หากไม่ใช่เพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในตอนท้าย เขาก็คงไม่ต้องลำบากตามหาคู่ต่อสู้คนนี้มานานถึงสามปี!
น้ำเสียงของดุลย์เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจไป ฉันติดต่อได้แค่ผู้ช่วยของเซียนหมากล้อมเท่านั้น ตัวจริงน่ะฉันยังไม่มีบารมีพอจะได้เจอ เพราะงั้นเรื่องคำเชิญน่ะ ฉันทำได้แค่ส่งต่อให้ แต่รับประกันความสำเร็จไม่ได้เต็มร้อยนะ”
นภัทรกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น
“ไม่เป็นไร นายแค่ส่งคำเชิญของฉันไปก็พอ เขารู้จักตัวตนของฉัน ไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว”
หลังจากวางสาย ความขุ่นมัวบนใบหน้าของนภัทรก็หายเป็นปลิดทิ้ง เขาสั่งให้ลุงทองขับรถออกไป
แต่ลุงทองกลับร้อง “เอ๊ะ” ขึ้นมา พลางชี้ไปที่กระเป๋าถือผู้หญิงบนเบาะหลัง
“นั่นไม่ใช่ของคุณอัณเหรอครับ? เธอลืมเอาไปด้วยเหรอ?”
นภัทรหน้าดำคล้ำ
ผู้หญิงขี้หลงขี้ลืมคนนี้!
——
อีกด้านหนึ่ง อัญชนีเพิ่งจะผลักประตูบ้านเข้าไป ก็เห็นคนสามคนนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป
อินทิยายังคงเป็นเหมือนเดิม ดวงตาแดงก่ำ ทำท่าทางน่าสงสาร
พอเห็นอัญชนี ก็เริ่มแสร้งทำเป็นเช็ดน้ำตา
“พี่คะ พี่นี่มันโง่จริงๆ! ถึงตระกูลภิรมย์ภักดีจะเป็นแค่ตระกูลเล็กๆ แต่ก็ไม่เคยให้พี่อดอยากขาดแคลน ทำไมพี่ต้องทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้เพื่อเงินด้วย ทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องขายหน้า!”
คณินและสุมนมองมาด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างยิ่ง
อัญชนีงงไปหมด “เธอพูดเรื่องอะไร?”
เมื่อเห็นอัญชนีไม่ยอมรับ สุมนก็นึกว่าเธอกำลังแกล้งโง่ จึงเดินเข้ามาอย่างฉุนเฉียวหมายจะตบหน้าสักฉาด—
“ลูกเนรคุณ! มาถึงตอนนี้ยังจะปากแข็งไม่ยอมรับอีก!”
